เทคโนโลยี Blockchain กำลังเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อมีการกล่าวถึง Bitcoin และสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ หลายคนอาจสงสัยว่า “Blockchain คืออะไร?” แม้จะเป็นคำศัพท์ที่ได้ยินอยู่บ่อย แต่หลายคนก็อาจจะยังไม่เข้าใจถึงความหมายที่แท้จริง ดังนั้น เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจพื้นฐานของเทคโนโลยีนี้ ทั้งหลักการทำงาน และเหตุผลที่มันกำลังจะมาเปลี่ยนแปลงโลกดิจิทัลของเรา
เนื้อหาในบทความนี้จะช่วยให้คุณเรียนรู้และทำความเข้าใจพื้นฐานว่า เทคโนโลยี Blockchain คืออะไร และสำคัญอย่างไรในปัจจุบัน พร้อมอธิบายกลไกการทำงาน ความสำคัญ และวิธีที่คุณสามารถใช้ความรู้เหล่านี้สร้างโอกาสในการทำงานและการลงทุนในอนาคต ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลยดีกว่า
Blockchain คืออะไร? หลักการทำงานพื้นฐานที่ควรรู้
เทคโนโลยี Blockchain คือ นวัตกรรมในการจัดเก็บข้อมูลรูปแบบใหม่ ด้วยการกระจายการจัดเก็บข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์หลายเครื่องในเครือข่าย ทำให้ไม่มีศูนย์กลางควบคุม และทำให้เกิดความโปร่งใสในการทำธุรกรรมต่างๆ นวัตกรรมนี้ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดการข้อมูลแบบดั้งเดิมที่เราต้องพึ่งพา “องค์กรส่วนกลาง” ให้กลายมาเป็นระบบที่ “ทุกคน” สามารถตรวจสอบได้
“Blockchain คืออะไร ทํางานอย่างไร” นี่อาจจะเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย ระบบนี้ทำงานด้วยการรวบรวมข้อมูลเป็นกลุ่มหรือ “บล็อก” แล้วเชื่อมต่อกันเป็น “เชน” ด้วยการเข้ารหัสที่ซับซ้อน ทุกธุรกรรมจะได้รับการตรวจสอบและยืนยันจากสมาชิกในเครือข่ายก่อนที่จะบันทึกลงในระบบ การทำงานในลักษณะนี้ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและป้องกันการปลอมแปลงข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากข้อมูลเหล่านั้นจะต้องได้รับการยืนยันจากหลายฝ่ายเสียก่อน
ขั้นตอนการทำงานของ Blockchain
- เมื่อมีการส่งธุรกรรมเข้ามายังเครือข่าย เครือข่ายจะทำการกระจายข้อมูล (Broadcast) ไปยังคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย P2P หรือที่เรามักจะเรียกกันว่า “โหนด” (Nodes)
- “โหนด” ต่างๆ จะทำการตรวจสอบและยืนยันธุรกรรมที่ส่งเข้ามาด้วยกลไกฉันทามติของเครือข่าย เช่น Proof of Work หรือ Proof of Stake เป็นต้น
- เมื่อธุรกรรมได้รับการตรวจสอบและยืนยันแล้ว ข้อมูลธุรกรรมจะถูกบรรจุลงใน “บล็อก” ของข้อมูล
- สุดท้าย บล็อกข้อมูลดังกล่าวจะถูกนำไปเชื่อมต่อกันบนเครือข่ายเป็น “เชน” ต่อไปเรื่อยๆ เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการทำงานของ Blockchain
ตัวอย่างหลักการทำงานของ Blockchain ที่มา pwc
ความพิเศษของระบบนี้อยู่ที่การรักษาความปลอดภัยข้อมูลด้วยเทคโนโลยีการเข้ารหัสขั้นสูง ทำให้ข้อมูลที่ถูกบันทึกแล้วไม่สามารถแก้ไขหรือลบทิ้งได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความน่าเชื่อถือให้กับระบบนี้ได้อย่างมาก นอกจากนี้ การที่ทุกคนในเครือข่ายมีสำเนาข้อมูลชุดเดียวกัน ยังเป็นการช่วยป้องกันการสูญหายของข้อมูลและทำให้ระบบสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องถึงแม้บางส่วนจะเกิดปัญหาขึ้นก็ตาม
เทคโนโลยี Blockchain ได้รับความนิยมอย่างมากหลังจากการเปิดตัวของ Bitcoin ในปี 2009 และต่อมา เทคโนโลยีนี้ก็ได้ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในหลายๆ อุตสาหกรรม ไม่เพียงแค่สกุลเงินดิจิทัลเท่านั้น แต่ยังไปรวมถึงการสร้างสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) การตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้า และการจัดการเอกสารสำคัญ ความสำเร็จเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ Blockchain ในการเข้ามาปฏิวัติวิธีการจัดการข้อมูลและการทำธุรกรรมในโลกดิจิทัล รวมถึง การสร้างโอกาสทางธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน
ประโยชน์และข้อจำกัดของ Blockchain Technology
เทคโนโลยี Blockchain คือสิ่งที่จะช่วยพลิกโฉมการทำธุรกิจให้ดีขึ้นได้ในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลดความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายช่วยให้ประหยัดต้นทุนได้มากยิ่งขึ้น การทำสัญญาแบบอัตโนมัติที่มีความปลอดภัย รวมถึง การสร้างความโปร่งใสให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ อย่างไรก็ตาม Blockchain เองก็มี ข้อดี-ข้อเสีย เช่นเดียวกับเทคโนโลยีอื่นๆ เช่นกัน ก่อนอื่น เราลองมาดูกันดีกว่าว่า Blockchain มีประโยชน์อย่างไร ก่อนที่จะไปต่อกันด้วยข้อจำกัดของสุดยอดเทคโนโลยีนี้ในหัวข้อถัดไป
ประโยชน์ของ Blockchain
- การเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์
ระบบ Blockchain จะไม่ได้เก็บข้อมูลไว้ในที่เดียว แต่จะทำการกระจายสำเนาข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์ทุกๆ เครื่องในเครือข่าย เมื่อมีข้อมูลใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา ทุกๆ เครื่องจะได้รับการอัพเดทข้อมูลดังกล่าวพร้อมกัน ด้วยวิธีนี้ ทำให้เป็นเรื่องยากมากที่จะมีใครสามารถปลอมแปลงข้อมูลได้ เพราะจะต้องแก้ไขข้อมูลในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องพร้อมๆ กัน ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
- ช่วยลดค่าใช้จ่าย
เมื่อเวลาเราทำธุรกรรมทางการเงิน ปกติแล้ว เราจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้ธนาคารหรือคนกลางในการตรวจสอบและรับรองธุรกรรมดังกล่าว เช่น เวลาร้านค้าต่างๆ รับชำระเงินค้าสินค้าหรือบริการผ่านบัตรเครดิต เราก็ต้องมีการจ่ายค่าธรรมเนียมให้ธนาคารและบริษัทบัตรเครดิตด้วย แต่ด้วยการใช้ Blockchain เราไม่จำเป็นที่จะต้องทำธุรกรรมผ่านตัวกลางเหล่านี้ ทำให้เสียค่าธรรมเนียมน้อยลงมาก อย่างเช่น Bitcoin มีค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมที่ต่ำมาก
- ความถูกต้องและความปลอดภัยของข้อมูล
เมื่อมีการทำธุรกรรมบน Blockchain จะมีโหนดคอมพิวเตอร์นับพันเครื่องช่วยกันตรวจสอบความถูกต้องผ่านกลไกฉันทามติ (Consensus) แทนที่จะใช้คนตรวจสอบเพียงคนเดียว วิธีนี้ช่วยลดความผิดพลาดที่อาจจะเกิดจากมนุษย์ได้เป็นอย่างมาก เพราะถึงแม้ว่าโหนดของคอมพิวเตอร์บางเครื่องจะคำนวณผิดพลาด ข้อมูลที่ผิดพลาดนั้นก็จะถูกตรวจพบและไม่ถูกบันทึกลงในระบบ เพราะโหนดของคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ก็จะมีการตรวจสอบไปพร้อมๆ กัน และก็จะไม่ยอมรับข้อมูลที่ผิดพลาดนั้น
นอกจากนี้ เมื่อเครือข่ายยืนยันข้อมูลดังกล่าวแล้ว จะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขข้อมูลในบล็อกได้อีก ทำให้ระบบมีความปลอดภัยสูง
- การทำธุรกรรมที่มีประสิทธิภาพ
โดยทั่วไปแล้ว ระบบธนาคารตามปกติจะมีข้อจำกัดเรื่องเวลาทำการ เช่น ถ้าคุณฝากเช็คตอนเย็นวันศุกร์ อาจจะต้องรอจนถึงเช้าวันจันทร์กว่าจะเห็นเงินในบัญชีของคุณ ในทางกลับกัน Blockchain ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด ทำให้ธุรกรรมเสร็จสิ้นรวดเร็วกว่ามาก บางครั้งใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น ข้อดีจะเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นในกรณีของการโอนเงินระหว่างประเทศ ที่ปกติต้องใช้เวลาหลายวันเพราะต้องผ่านหลายขั้นตอนและต้องรอการยืนยันจากหลายฝ่ายด้วย
- ความเป็นส่วนตัวของการทำธุรกรรม
Blockchain คือเครือข่ายที่ใครก็สามารถเข้าดูประวัติการทำธุรกรรมได้ แต่ก็จะเห็นแค่รายละเอียดการทำธุรกรรมเท่านั้น ไม่สามารถรู้ได้ว่าใครเป็นคนทำ อย่างไรก็ตาม ที่อยู่ของกระเป๋าเงินนั้นก็เปรียบเสมือนนามแฝงของคุณ ดังนั้น หากมีข้อมูลรั่วไหล ก็อาจจะสืบย้อนกลับไปหาตัวผู้ใช้งานได้
- ความโปร่งใส
Blockchain ส่วนใหญ่เป็นระบบเปิดที่ทุกคนสามารถตรวจสอบโค้ดได้ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถตรวจสอบความปลอดภัยของระบบได้ และยังหมายความว่าไม่มีองค์กรใดที่สามารถควบคุมระบบแต่เพียงผู้เดียวได้ ใครก็สามารถเสนอการปรับปรุงระบบได้ และถ้าผู้ใช้งานส่วนใหญ่เห็นด้วย การปรับปรุงนั้นก็จะถูกนำไปใช้งสย
อย่างไรก็ตาม บางองค์กรอาจจะสร้างเครือข่าย Blockchain แบบส่วนตัวที่จำกัดการเข้าถึงขึ้นมาเพื่อใช้ในการจัดการข้อมูลภายในองค์กรได้ หรือในอนาคต บริษัทอาจจะใช้ Blockchain ในการรายงานข้อมูลทางการเงินแก่นักลงทุน เพื่อป้องกันการแก้ไขตัวเลขให้ดูดีกว่าความเป็นจริงได้ด้วยเช่นกัน
ข้อจำกัดของ Blockchain
- ต้นทุนด้านเทคโนโลยี
ถึงแม้ว่า Blockchain จะช่วยลดค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม แต่การใช้งานระบบเหล่านี้ก็มีต้นทุนด้านพลังงานที่สูงมาก โดยเฉพาะการตรวจสอบธุรกรรมของ Bitcoin ที่ต้องใช้พลังงานมากกว่าการใช้พลังงานทั้งปีของประเทศปากีสถาน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเริ่มมีแนวทางแก้ไขปัญหานี้แล้ว เช่น การสร้างฟาร์มขุด Bitcoin ที่ใช้พลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์ ก๊าซธรรมชาติที่เหลือจากแหล่งขุดเจาะ หรือ พลังงานลมจากกังหันลม เป็นต้น
- การกำกับดูแล
หนึ่งในสิ่งที่เป็นความกังวลหลักของวงการสกุลเงินดิจิทัลก็คือ การควบคุมจากภาครัฐที่หลายๆ ประเทศเริ่มออกกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการควบคุมการใช้งานสกุลเงินดิจิทัล ไม่ได้จำกัดการพัฒนาเทคโนโลยี Blockchain โดยตรง
- กิจกรรมที่ผิดกฎหมาย
Blockchain มีข้อดีในการรักษาความเป็นส่วนตัวและป้องกันการแฮกได้ แต่คุณสมบัตินี้ก็ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดได้เช่นกัน อย่างกรณีของ Silk Road ตลาดมืดออนไลน์ที่ใช้ Bitcoin ในการค้ายาเสพติดและฟอกเงินระหว่างปี 2011-2013 ก่อนที่จะถูก FBI ปิด ตลาดมืดเหล่านี้ใช้ Tor Browser และสกุลเงินดิจิทัลเพื่อทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมายโดยไม่ถูกตรวจสอบ ต่างจากระบบการเงินปกติในสหรัฐฯ ที่ต้องมีการยืนยันตัวตนลูกค้าอย่างเข้มงวด
อย่างไรก็ตาม หลายคนเห็นว่าประโยชน์ของ Blockchain ในการช่วยให้ผู้คนเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้นนั้น มีความสำคัญมากกว่าข้อเสียจากการใช้ในทางที่ผิด โดยเฉพาะเมื่อกิจกรรมที่ผิดกฎหมายส่วนใหญ่ยังคงใช้เงินสดที่ติดตามได้ยากกว่ามาก
Blockchain เกี่ยวกับคริปโตยังไง
แล้ว Blockchain กับ Cryptocurrency มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร? ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ เลยก็คือ Blockchain คือเทคโนโลยีรากฐานที่ทำให้สามารถสร้าง Cryptocurrency ขึ้นมาได้ โดย Blockchain จะทำหน้าที่เป็นสมุดบัญชีดิจิทัลที่ใช้ในการเก็บประวัติการโอน Cryptocurrency ทุกรายการ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกบันทึกเป็นชุดๆ และเชื่อมโยงกันคล้ายลูกโซ่ที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ การทำงานนี้อาศัยกลุ่มคนที่เรียกว่า Validators ที่จะใช้คอมพิวเตอร์ของพวกเขา (ทำงานในฐานะ Node) เพื่อช่วยตรวจสอบความถูกต้องของทุกธุรกรรม ก่อนที่จะบันทึกลงในระบบที่กระจายอยู่ในโหนดคอมพิวเตอร์ทั่วโลก
ระบบนี้มีข้อดีที่ทำให้เราไม่ต้องพึ่งพาธนาคารอีกต่อไป เพราะสามารถโอนเงินถึงกันได้โดยตรง และทุกคนสามารถตรวจสอบการทำธุรกรรมได้อย่างโปร่งใส ทำให้คนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีธนาคารสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น จึงจะเห็นได้ชัดเลยว่า เทคโนโลยี Blockchain คือสิ่งที่ทำให้ Cryptocurrency สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น โปร่งใส และมีความปลอดภัยเหมือนที่มันเป็นอยู่ในทุกวันนี้
ในอนาคต เทคโนโลยี Blockchain และ Cryptocurrency มีแนวโน้มที่จะพัฒนาและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสามารถในการทำธุรกรรมที่รวดเร็ว ปลอดภัย และตรวจสอบได้ ทำให้เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนในอนาคต โดยเฉพาะในด้านการเงินและการจัดการข้อมูลที่ต้องการความน่าเชื่อถือสูง
ตัวอย่าง Blockchain ในประเทศไทย และการใช้งานในชีวิตประจำวัน
ปัจจุบัน Blockchain ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศไทยในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะการทำธุรกรรมทางการเงินและการบริการต่างๆ ในชีวิตประจำวันที่ต้องการความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือสูง หลายๆ องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนได้นำเทคโนโลยีนี้มาใช้งานเพื่อให้บริการประชาชนได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ตัวอย่างการใช้งานที่สำคัญมีดังนี้:
- **Krungsri Blockchain Interledger:** ธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ร่วมมือกับบริษัท Ripple ผู้ให้บริการโซลูชัน Blockchain ระดับโลก เพื่อพัฒนา Krungsri Blockchain Interledger ซึ่งช่วยให้การโอนเงินไปต่างประเทศรวดเร็วขึ้นอย่างมาก โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารแห่งประเทศไทยภายใต้โครงการ Regulatory Sandbox และประสบความสำเร็จในการลดค่าใช้จ่ายในการโอนเงินได้มากถึง 50% อีกทั้งยังช่วยลดระยะเวลาในการทำธุรกรรมจากหลายวันเหลือเพียงไม่กี่นาที นอกจากนี้ ระบบยังมีความปลอดภัยสูงและสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ทุกรายการ ทำให้การโอนเงินระหว่างประเทศมีความโปร่งใสและน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
- xCHAIN: แพลตฟอร์ม Blockchain สาธารณะที่พัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริการในภาคธุรกิจและการศึกษา แพลตฟอร์มนี้ได้รับการออกแบบให้รองรับการใช้งานที่หลากหลาย เช่น การออกใบรับรองดิจิทัล การยืนยันตัวตน และการทำสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) โดยเน้นความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรม นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาระบบนิเวศที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ บนแพลตฟอร์ม ทำให้ผู้ประกอบการและนักพัฒนาสามารถต่อยอดและสร้างแอปพลิเคชันที่หลากหลายได้
- Bitkub Chain และ JFIN Chain: ตัวอย่างของ Blockchain ที่พัฒนาโดยบริษัทเทคโนโลยีการเงิน (FinTech) ชั้นนำของไทย โดย Bitkub Chain พัฒนาโดยบริษัทในเครือ Bitkub มุ่งเน้นการสร้างระบบนิเวศทางการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) และรองรับการพัฒนาแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (DApp) ในขณะที่ JFIN Chain พัฒนาโดย J Ventures เน้นการให้บริการด้านสินทรัพย์ดิจิทัลและการระดมทุนผ่าน Blockchain ทั้ง 2 แพลตฟอร์มมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและได้รับการยอมรับจากผู้ใช้งานทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งยังมีการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจและขยายการให้บริการในด้านต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีโครงการอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น แนวคิดในการใช้ Blockchain ตรวจสอบที่มาของสินค้าเกษตร การพัฒนาเงินดิจิทัลของธนาคารแห่งประเทศไทย (CBDC) และการจัดการข้อมูลของหน่วยงานรัฐ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยี Blockchain กำลังจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนไทยมากยิ่งขึ้นในอนาคต
ตัวอย่างของการนำ Blockchain มาใช้งานในชีวิตประจำวันของประเทศไทย
1. NDID (National Digital ID)
NDID หรือระบบพิสูจน์ตัวตนแห่งชาติ เป็นเหมือนบัตรประชาชนดิจิทัลที่ช่วยให้เราทำธุรกรรมออนไลน์ได้สะดวกและปลอดภัยมากขึ้น ระบบนี้ใช้เทคโนโลยี Blockchain เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น ธนาคาร โรงพยาบาล หรือหน่วยงานราชการ
คุณสมบัติของ NDID:
- ความปลอดภัยสูง: ข้อมูลส่วนตัวของเราจะถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัยด้วยเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งไม่สามารถแก้ไขหรือปลอมแปลงได้ ทำให้เราใช้งานได้อย่างมั่นใจ
- ไม่มีค่าใช้จ่าย: เราสามารถใช้บริการได้ฟรี ไม่ว่าจะเป็นการลงทะเบียนหรือการยืนยันตัวตนในการทำธุรกรรมต่างๆ
- สะดวกและรวดเร็ว: เมื่อลงทะเบียนแล้ว เราไม่ต้องกรอกข้อมูลซ้ำๆ ทุกครั้งที่ต้องการทำธุรกรรม เพราะระบบจะจำข้อมูลของเราไว้และส่งต่อให้หน่วยงานที่เราต้องการทำธุรกรรมด้วยโดยอัตโนมัติ
2. J Ventures
บริษัท J Ventures ได้เปิดให้บริการ Public Identity Provider (Public IdP) ผ่าน Join Application บนเครือข่าย NDID ซึ่งช่วยให้เราสามารถพิสูจน์ตัวตนกับหน่วยงานต่างๆ ได้อย่างสะดวก เช่น การเปิดบัญชีธนาคาร การสมัครบัตรเครดิต หรือการขอสินเชื่อ เป็นต้น
ข้อดีของบริการ J Ventures:
- ปลอดภัย: การเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการต่างๆ ใช้เทคโนโลยี Blockchain ที่มีความปลอดภัยสูง ทำให้ข้อมูลส่วนตัวของเราไม่รั่วไหล
- รวดเร็วและประหยัด: เราสามารถทำธุรกรรมได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ และไม่ต้องเดินทางไปที่สาขาหรือสำนักงาน
ทั้ง NDID และ J Ventures คือตัวอย่างของการนำเอาเทคโนโลยี Blockchain มาใช้งานในประเทศไทย ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยลดความยุ่งยากในการกรอกข้อมูลซ้ำซ้อนและเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการ
อนาคตของ Blockchain ในประเทศไทย
ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการพัฒนาเทคโนโลยี Blockchain ที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีการทำธุรกรรมและการให้บริการในหลายๆ ภาคส่วน โดยรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีนี้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างโอกาสใหม่ๆ ทั้งในด้านการค้า การลงทุน และการจ้างงาน จึงได้ออกมาตรการสนับสนุนต่างๆ เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และการพัฒนากรอบกฎหมายที่เอื้อต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม
ความก้าวหน้าของ Blockchain ในประเทศไทยเห็นได้ชัดจากโครงการนำร่องต่างๆ เช่น ระบบหนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยลดเวลาการทำงานจากหลายวันเหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง หรือ การศึกษาการใช้สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีการนำ Blockchain ไปประยุกต์ใช้ในหลายวงการ ทั้งการแพทย์ การศึกษา และการจัดการซัพพลายเชน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสในการทำงานมากยิ่งขึ้น
แม้ว่าตอนนี้จะยังมีปัญหาบางอย่าง เช่น กรอบกฎหมายที่ยังไม่ชัดเจนและการขาดคนที่มีความรู้ทางด้านนี้ แต่ช่วงเวลานี้ก็เป็นโอกาสดีที่ประเทศไทยจะได้เตรียมตัวให้พร้อม ทั้งการสร้างระบบพื้นฐานและพัฒนาคนให้มีความรู้มากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะได้มีโอกาสในการเป็นผู้นำด้าน Blockchain ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
บทสรุป
อนาคตของเทคโนโลยี Blockchain ในประเทศไทยนั้นค่อนข้างสดใสและน่าจับตามอง เนื่องจากรัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง มีการส่งเสริมให้ความรู้แก่ประชาชน และมีการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในงานหลายๆ ด้าน เมื่อทุกฝ่ายหันมาร่วมมือกันแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่มีอยู่ เทคโนโลยี Blockchain ก็จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยให้ก้าวหน้าไปได้อีกขั้น โดยเฉพาะในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ
คำถามที่พบบ่อย
Blockchain คืออะไร มีหลักการทำงานอย่างไร?
บล็อกเชน (Blockchain) คือ เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger Technology หรือ DLT) ที่ทำงานโดยการบันทึกข้อมูลในรูปแบบของ “บล็อก” (Block) ที่เชื่อมต่อกันเป็น “ลูกโซ่” (Chain) แต่ละบล็อกจะเก็บข้อมูลการทำธุรกรรมและมีรหัสแฮชที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้ข้อมูลมีความปลอดภัยและโปร่งใส ผู้ใช้งานทุกคนในระบบจะร่วมช่วยกันตรวจสอบว่าข้อมูลถูกต้องหรือไม่ เปรียบเสมือนการมีคนหลายคนช่วยกันเป็นพยาน ข้อดีของบล็อกเชนคือไม่จำเป็นต้องมีคนกลาง เช่น ธนาคาร มาช่วยดูแลการทำธุรกรรม ทำให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังปลอดภัยและโปร่งใสกว่าระบบแบบเดิม
Blockchain ในประเทศไทยมีอะไรบ้าง?
บล็อกเชนในเมืองไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นตั้งแต่ปี 2018 หลังจากที่ Bitcoin เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ส่งผลให้มีเว็บไซต์สำหรับซื้อขายเงินดิจิทัลเกิดขึ้นหลายแห่ง เช่น Bitkub และ Zipmex ที่คนไทยรู้จักกันดี รัฐบาลและหน่วยงานที่ดูแลกฎหมายก็สนับสนุนให้นำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในวงการธุรกิจและการเงินมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น Bitkub Chain ที่เป็นระบบบล็อกเชนยอดนิยม มีการพัฒนาระบบใหม่ๆ และมีคนใช้งานจำนวนมาก ปัจจุบัน หลายวงการเริ่มสนใจนำบล็อกเชนไปใช้ประโยชน์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวงการการเงิน การแพทย์ หรือแม้แต่การเกษตร