คริปโตคืออะไร? ความหมายและความแตกต่างจากสกุลเงินดิจิทัลในปี 2025 สำหรับมือใหม่

ความหมายของคริปโตและ Cryptocurrency

คริปโตคืออะไร สกุลเงินดิจิทัล หรือที่บางครั้งเรียกว่าคริปโตเคอร์เรนซี หรือคริปโต คือ เงินดิจิทัลหรือเงินเสมือนที่ได้รับการปกป้องด้วยการเข้ารหัสเพื่อรักษาความปลอดภัย โดยส่วนใหญ่แล้วสกุลเงินดิจิทัลจะทำงานบนเครือข่ายที่กระจายศูนย์โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน

ความหมายของคริปโตและ Cryptocurrency

คริปโตเป็นระบบการชำระเงินดิจิทัลที่ไม่พึ่งพาธนาคารในการตรวจสอบธุรกรรม เป็นระบบแบบเพียร์ทูเพียร์ที่ไม่ว่าจะเป็นใคร หรืออยู่ที่ไหนก็สามารถส่งและรับการชำระเงินได้ การชำระเงินด้วยสกุลเงินดิจิทัลจะถูกบันทึกเป็นข้อมูลดิจิทัลในฐานข้อมูลออนไลน์ เมื่อโอนเงินคริปโต ธุรกรรมจะถูกบันทึกในบัญชีสาธารณะ สกุลเงินดิจิทัลจะถูกเก็บในกระเป๋าดิจิทัล

ชื่อ cryptocurrency มีที่มาจากการรวมกันของคำว่า “การเข้ารหัส” (Cryptography) และ “เงิน” (Currency) เป็นการตั้งรหัสมีการเขียนโค้ดซับซ้อนเพื่อเก็บและส่งข้อมูลคริปโตระหว่างกระเป๋าตังและบัญชีสาธารณะ จุดประสงค์ของการเข้ารหัสคือการให้ความปลอดภัยและความมั่นคงแก่ผู้ใช้งาน

สกุลเงินดิจิทัลแรก ได้แก่ บิทคอยน์ (Bitcoin) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2009 และยังคงเป็นที่รู้จักดีที่สุดในปัจจุบัน ความสนใจในสกุลเงินดิจิทัลส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การซื้อขายเพื่อหากำไร นักเก็งกำไร เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคาคริปโตในตลาดพุ่งสูงขึ้น

ความแตกต่างระหว่างคริปโตและสกุลเงินดิจิทัล

คริปโตคืออะไร เหมือนหรือต่างกับสกุลเงินดิจิทัลยังไง? หลาย ๆ คนอาจมีความสับสนระหว่างสกุลเงินดิจิทัลและคริปโตเคอร์เรนซี โดยทั่วไปแล้ว สกุลเงินดิจิทัล รวมถึงสกุลเงินที่ออกโดยธนาคารกลาง จะมีอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์และมักจะมีการควบคุมจากหน่วยงานกลาง ส่วนคริปโตเคอร์เรนซีอย่างบิทคอยน์จะมีการกระจายศูนย์และใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ตารางด้านล่างเป็นการรวบรวมข้อเปรียบเทียบหลัก ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจสำหรับผู้เริ่มลงทุน (Starleaf)

ข้อแตกต่าง สกุลเงินดิจิทัล คริปโตเคอร์เรนซี
การกระจายศูนย์ อาจเป็นแบบกระจายศูนย์ (เช่น CBDCs ที่ควบคุมโดยธนาคารกลาง) หรือแบบรวม เป็นแบบกระจายศูนย์เสมอ โดยไม่มีหน่วยงานกลางควบคุม
รูปแบบ มีอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น มีอยู่ในรูปแบบดิจิทัลเท่านั้น
การออกเงินและการควบคุม ออกและควบคุมโดยธนาคารกลางหรือรัฐบาล (เช่น CBDCs) ไม่มีการควบคุมจากหน่วยงานกลาง ทำงานบนเครือข่ายบล็อกเชนแบบกระจายศูนย์
เทคโนโลยี อาจมีการใช้หรือไม่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ขึ้นอยู่กับรูปแบบ ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนสำหรับการกระจายศูนย์และความปลอดภัย
การควบคุม ควบคุมรวมศูนย์โดยรัฐบาลหรือธนาคารกลาง การควบคุมแบบกระจายโดยผู้เข้าร่วมเครือข่าย
ความปลอดภัย ปกป้องโดยกฎระเบียบและการดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ความปลอดภัยได้รับการรับรองผ่านวิธีการเข้ารหัสและการตรวจสอบแบบเพียร์ทูเพียร์
การควบคุมและการกำกับดูแล ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดโดยหน่วยงานรัฐบาล ไม่ได้รับการควบคุมหรือควบคุมอย่างหลวม ๆ ในหลายประเทศ
ความเสถียร ออกแบบมาเพื่อความเสถียร มักจะเชื่อมโยงกับสกุลเงินตามกฎหมาย ความผันผวนสูง ราคามักมีการเปลี่ยนแปลงมาก
การใช้งาน เหมาะสำหรับการทำธุรกรรมในชีวิตประจำวัน มีความเสถียรและไว้วางใจได้ ส่วนใหญ่ใช้เพื่อการลงทุนหรือการเก็งกำไรเนื่องจากความผันผวนของราคา
ตัวอย่าง สกุลเงินดิจิทัลจากธนาคารกลาง (CBDCs), เวอร์ชันดิจิทัลของสกุลเงินประเทศ Bitcoin, Ethereum, Litecoin, และสกุลเงินดิจิทัลแบบกระจายศูนย์อื่น ๆ

ความสัมพันธ์กับ Blockchain

บล็อกเชนคืออะไร บล็อกเชนคือฐานข้อมูลชนิดหนึ่ง หรือบัญชีแยกที่กระจายไปทั่วโหนด (Node) ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ คริปโตเกี่ยวกับ blockchain ยังไง? บล็อกเชนมีชื่อเสียงจากบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบคริปโตเคอร์เรนซี โดยการเก็บบันทึกธุรกรรมในรูปแบบที่ปลอดภัยและกระจายศูนย์ แต่การใช้งานของบล็อกเชนไม่ได้จำกัดแค่คริปโตเคอร์เรนซีเท่านั้น ข้อมูลบนบล็อกเชนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ (immutable) และไม่สามารถแก้ไขได้ เมื่อผู้ใช้งานหรือโปรแกรมป้อนข้อมูลเข้าไปในบล็อกเชนจึงมีความน่าเชื่อถือ เป็นการช่วยลดความจำเป็นในการพึ่งพาความคุ้มกันจากแหล่งอื่น ๆ เช่นผู้ตรวจสอบบัญชีหรือบุคคลอื่น ซึ่งอาจเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายและทำให้เกิดความผิดพลาดได้ (Investopedia)

Blockchain

บล็อกเชนเป็นแบบไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากหากมีการเปลี่ยนแปลงบนบล็อกใดบล็อกหนึ่ง จะทำให้ลายนิ้วมือดิจิทัลเปลี่ยนแปลงไป และเพราะลายนิ้วมือดิจิทัลนั้นถูกรวมอยู่ในบล็อกถัด ๆ ไป บล็อกถัดไปก็จะเปลี่ยนไปด้วย เป็นผลกระทบแบบโดมิโนที่ทำให้ทุกการเปลี่ยนแปลงเห็นได้ชัดเจน ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยที่ทุกคนในเครือข่ายไม่ทราบได้ (Binance Academy)

การใช้งานบล็อกเชนได้ขยายเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากการเปิดตัวบิทคอยน์ในปี 2009 มีการพัฒนาผ่านการสร้างสกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ แอปพลิเคชันการเงินกระจายศูนย์ (DeFi) โทเคนที่ไม่สามารถแลกเปลี่ยนได้ (NFTs) และสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts)

ประเภทของคริปโตและเหรียญต่างๆ

เนื่องจากมีสกุลเงินดิจิทัลมากมายในตลาด การเข้าใจประเภทของสกุลเงินดิจิทัลจึงเป็นสิ่งสำคัญ การรู้ประเภทเหรียญจะช่วยให้ตัดสินใจได้ว่าเหรียญนั้นคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่

ประเภทของคริปโตและเหรียญต่างๆ

ส่วนใหญ่แล้ว เมื่อพูดถึงประเภทของคริปโตเคอร์เรนซี เรามักจะได้ยินแค่ชื่อเหรียญ แต่ชื่อเหรียญต่างจากประเภทเหรียญ เราได้รวบรวม เหรียญ คริปโต มีกี่ประเภท พร้อมกับตัวอย่างของโทเคนในประเภทนั้น ๆ:

  1. Utility: XRP และ ETH คือตัวอย่างของโทเคนที่ใช้ในทางพาณิชย์ (Utility tokens) ซึ่งทำหน้าที่เฉพาะบนบล็อกเชนของตัวเอง
  2. Transactional: โทเคนที่ออกแบบมาเพื่อใช้เป็นวิธีการชำระเงิน บิทคอยน์คือเหรียญ คริปโตที่รู้จักกันดีในประเภทนี้
  3. Governance: โทเคนที่แสดงถึงสิทธิในการลงคะแนนหรือสิทธิอื่น ๆ บนบล็อกเชน เช่น Uniswap
  4. Platform: โทเคนที่รองรับแอปพลิเคชันที่สร้างขึ้นเพื่อใช้บล็อกเชน เช่น Solana
  5. Security tokens: โทเคนที่แสดงถึงการเป็นเจ้าของสินทรัพย์ เช่น หุ้นที่กลายเป็นคริปโต (มูลค่าถูกย้ายไปยังบล็อกเชน) MS Token เป็นตัวอย่างของเหรียญ คริปโตที่ถูกทำให้เป็นหลักทรัพย์ หากสามารถหาซื้อโทเคนเหล่านี้ได้ ผู้ซื้ออาจได้รับสิทธิ์การเป็นเจ้าของบางส่วนของ Millennium Sapphire

นอกจากประเภทของเหรียญแล้ว เราจะพาไปรู้จักเหรียญ คริปโต มีอะไรบ้างที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน

  1. บิทคอยน์ (Bitcoin): ก่อตั้งในปี 2009 บิทคอยน์คือคริปโตแรกและยังคงเป็นที่นิยมในการซื้อขายมากที่สุดในปัจจุบัน
  2. อีเธอเรียม (Ethereum): พัฒนาขึ้นในปี 2015 อีเธอเรียมเป็นแพลตฟอร์มบล็อกเชนที่มีสกุลเงินดิจิทัลของตัวเอง ชื่อว่า Ether (ETH) หรือ Ethereum ซึ่งเป็นคริปโตเคอร์เรนซีที่ได้รับความนิยมรองจากบิทคอยน์
  3. ไลท์คอยน์ (Litecoin): สกุลเงินนี้คล้ายกับบิทคอยน์ แต่ได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วในการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ รวมถึงการชำระเงินที่เร็วขึ้นและกระบวนการที่ช่วยให้สามารถทำธุรกรรมได้มากขึ้น
  4. ริปเปิล (Ripple): ริปเปิลเป็นระบบบัญชีแยกที่กระจายตัว (distributed ledger system) ก่อตั้งในปี 2012 ริปเปิลสามารถใช้ติดตามธุรกรรมประเภทต่าง ๆ ที่ไม่ได้จำกัดเพียงคริปโตเคอร์เรนซีเท่านั้น

ข้อดีและข้อเสียของ Cryptocurrency

ในช่วงปัจจุบันที่คริปโตเคอร์เรนซีได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ Cryptocurrency ข้อดี ข้อเสีย มีความแตกต่างมากมายระหว่างแนวคิดที่เป็นอุดมคติของระบบกระจายศูนย์ (decentralized) กับการใช้งานจริง (Investopedia)

ข้อดีของสกุลเงินดิจิทัล Cryptocurrency คือ

  1. กำจัดจุดล้มเหลวเดียว: ด้วยระบบกระจายศูนย์ทำให้ทั้งระบบไม่สามารถล้มเหลวได้จากจุดศูนย์กลางเดียว ดังนั้น ระบบคริปโตเคอร์เรนซีจึงกำจัดความเป็นไปได้ที่ระบบจะล่มจากจุดล้มเหลวเดียว ต่างจากระบบรวมศูนย์ที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่ใช้ทำให้เกิดปัญหาลูกโซ่และวิกฤตทั่วโลก
  2. การโอนเงินระหว่างบุคคลต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น
  3. กำจัดตัวกลาง: ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ตัวกลาง เช่น ธนาคารหรือผู้ให้บริการการเงิน ในการทำธุรกรรม แฟลชโลนในการเงินกระจายศูนย์ (DeFi) เป็นตัวอย่างที่ดีของการโอนเงินแบบกระจายศูนย์ สินเชื่อนี้สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องใช้หลักประกันและสามารถดำเนินการได้ภายในไม่กี่วินาที
  4. นักลงทุนสามารถใช้คริปโตเคอร์เรนซีในการสร้างผลกำไรและผลตอบแทนได้
  5. การโอนเงินระหว่างประเทศสามารถทำได้อย่างสะดวกรวดเร็วและมีค่าใช้จ่ายต่ำ

ข้อเสียของสกุลเงินดิจิทัล cryptocurrency คือ

  1. ธุรกรรมเป็นแบบการใช้นามแฝง: การทำธุรกรรมสามารถทำได้โดยไม่เปิดเผยตัวตน ซึ่งเป็นการทิ้งร่องรอยดิจิทัลที่หน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานสืบสวนกลางของสหรัฐ (FBI) สามารถติดตามได้ เป็นการเปิดโอกาสให้รัฐบาล และผู้มีอำนาจติดตามธุรกรรมทางการเงินได้
  2. ระบบคริปโตเคอร์เรนซีหลาย ๆ ตัวในปัจจุบัน เริ่มมีการควบคุมจากกลุ่มใหญ่ ทำให้มีความกระจุกตัว และมีความเป็นศูนย์กลางมากขึ้น
  3. การเข้าร่วมเครือข่ายและการสร้างรายได้จากเหรียญอาจมีค่าใช้จ่ายสูง
  4. ปัญหาด้านความปลอดภัยนอกบล็อกเชน
  5. ราคาของคริปโตเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูง ทำให้การลงทุนมีความเสี่ยง

บิทคอยน์คืออะไรและความแตกต่างจากคริปโตอื่นๆ

บิทคอยน์คืออะไร? บิทคอยน์ (BTC) คือคริปโตเคอร์เรนซีที่ออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่เป็นเงินและการชำระเงินที่อยู่นอกการควบคุมของบุคคล กลุ่ม หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง ซึ่งจะกำจัดความจำเป็นในการใช้ตัวกลางอย่าง ธนาคาร ในการทำธุรกรรมทางการเงิน

บิทคอยน์ถูกนำเสนอต่อสาธารณชนในปี 2009 โดยนักพัฒนาที่ไม่เปิดเผยชื่อหรือกลุ่มนักพัฒนาที่ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto หลังจากนั้นบิทคอยน์ก็กลายเป็นคริปโตเคอร์เรนซีที่ได้รับความนิยมและมีมูลค่ามากที่สุดในโลก ความนิยมนี้เป็นแรงบันดาลใจทำให้เกิดการพัฒนาเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีอื่น ๆ อีกมากมาย มีคริปโตเคอร์เรนซีอีกพันกว่าชนิดที่ถูกสร้างขึ้น ซึ่งรู้จักกันในชื่ออัลท์คอยน์ (Altcoins)

บิทคอยน์คืออะไรและความแตกต่างจากคริปโตอื่นๆ

หลายคนอาจสงสัยว่า บิทคอยน์ กับ คริปโต ต่างกันยังไง? คริปโตเคอร์เรนซีคือคำทั่วไปที่หมายถึงสกุลเงินดิจิทัลหรือสกุลเงินเสมือนที่ใช้การเข้ารหัสเพื่อความปลอดภัย ดำเนินการโดยอิสระจากธนาคารและรัฐบาล แต่ยังคงสามารถแลกเปลี่ยนหรือเก็งกำไรได้เหมือนกับสกุลเงินจริง ส่วนบิทคอยน์เป็นคริปโตเคอร์เรนซีที่เฉพาะเจาะจงและเป็นผู้บุกเบิก หรือในอีกแง่หนึ่ง คริปโตเคอร์เรนซีถือเป็นหมวดหมู่ที่รวมสกุลเงินดิจิทัลหลายประเภท ส่วนบิทคอยน์คือสมาชิกแรกและเป็นที่รู้จักมากที่สุดของหมวดหมู่นั้น

แม้ว่าบิทคอยน์จะยังคงเป็นผู้นำตลาดคริปโตเคอร์เรนซีที่ได้รับความนิยมและมีมูลค่าสูงที่สุด แต่ตอนนี้ในตลาดมีคริปโตหลากหลายประเภทที่มีการประยุกต์การใช้งานต่าง ๆ มากขึ้น คริปโตเคอร์เรนซียังคงมีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง วิวัฒนาการจากแนวคิดเฉพาะกลุ่มไปสู่ปรากฏการณ์ระดับโลกที่มีผลกระทบทั้งในด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ทำให้คริปโตเคอร์เรนซีอื่นๆ เช่น Bitcoin Cash, Bitcoin Gold, Ethereum, Litecoin, Ripple, EOS, Stellar (XLM) และ NEO อาจท้าทายตำแหน่งในอนาคตจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น การขยายการใช้งาน และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี

วิธีการเล่นและลงทุนในคริปโตสำหรับมือใหม่

หลังที่ทราบข้อมูลพื้นฐานของคริปโตแล้ว แต่ยังไม่แน่ใจว่าคริปโต เล่นยังไง เราได้รวบรวมวิธีเล่นคริปโต มือใหม่ก็สามารถเข้าใจและทำตามได้ง่ายเพื่อการลงทุนอย่างมั่นใจ

1. เลือกแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซี

ในการซื้อคริปโตเคอร์เรนซี จะต้องใช้แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโต (crypto exchange) ซึ่งเป็นตลาดออนไลน์ที่สามารถแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลได้ แพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมหลายแห่งมีฟีเจอร์ที่เหมาะสมสำหรับผู้เริ่มลงทุนและมีคริปโตเคอร์เรนซีให้เลือกมากมาย

เลือกแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซี

2. เลือกคริปโตเคอร์เรนซีที่จะลงทุน

ขั้นตอนถัดไปคือการตัดสินใจเลือกคริปโตที่เหมาะสมสำหรับผู้เริ่มต้น ซึ่งส่วนใหญ่มักเริ่มต้นด้วยการเลือกใช้คริปโตเคอร์เรนซีที่เป็นที่รู้จัก เช่น Bitcoin หรือ Ethereum เพราะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและมีความเสถียรกว่าคริปโตรุ่นใหม่ ๆ เป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยในการเริ่มต้นลงทุน

เลือกคริปโตเคอร์เรนซีที่จะลงทุน

3. สร้างกระเป๋าคริปโตเคอร์เรนซีที่ปลอดภัย

เมื่อเลือกแพลตฟอร์มและคริปโตเคอร์เรนซีที่ต้องการแล้ว ผู้เริ่มลงทุนจะต้องมีกระเป๋าคริปโตเคอร์เรนซี (crypto wallet) เพื่อเก็บเหรียญดิจิทัลของตนเองให้อยู่ในความปลอดภัยและปกป้องการลงทุน กระเป๋าคริปโตแบ่งออกเป็นแบบออนไลน์ (ร้อน) หรือออฟไลน์ (เย็น)

สร้างกระเป๋าคริปโตเคอร์เรนซีที่ปลอดภัย

4. เริ่มต้นลงทุนโดยทำการซื้อเหรียญครั้งแรก

เมื่อตั้งค่ากระเป๋าคริปโตเรียบร้อยแล้ว ผู้ลงทุนสามารถทำการซื้อครั้งแรกได้ โดยสามารถซื้อทั้งเหรียญหรือซื้อเพียงบางส่วนของเหรียญขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่ต้องการลงทุน หลังจากทำการซื้อสำเร็จ เหรียญที่ซื้อจะปรากฏในกระเป๋าคริปโตที่ตั้งค่าไว้

เริ่มต้นลงทุนโดยทำการซื้อเหรียญครั้งแรก

5. ตั้งกลยุทธ์การลงทุน

การลงทุนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่เพียงแค่การซื้อหรือมีคริปโตไว้ในครอบครองเท่านั้น แต่ต้องควบคู่ไปกับกลยุทธ์ในการซื้อขายด้วย เริ่มต้นด้วยการพิจารณากลยุทธ์การลงทุนในคริปโตสำหรับผู้เริ่มต้นลงทุน ซึ่งรวมถึงการถือครองระยะยาวที่เรียกว่า HODLing (คำยอดนิยมในชุมชนคริปโตที่หมายถึงการถือเหรียญไว้แม้ตลาดจะขึ้นหรือลง) หรือการเทรดที่มีการเคลื่อนไหวบ่อยขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญในการลงทุนคือการติดตามข้อมูลตลาด จัดการความเสี่ยง และหลีกเลี่ยงการลงทุนทั้งหมดในคริปโตเคอร์เรนซีตัวเดียว

ตั้งกลยุทธ์การลงทุน

คริปโตเคอร์เรนซีอาจเป็นการลงทุนที่ดีสำหรับผู้ที่ชอบการเก็งกำไรและสามารถรับความเสี่ยงในการสูญเสียเงินที่ลงทุนทั้งหมดได้ อย่างไรก็ตาม การลงทุนคริปโตอาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการสร้างพอร์ตการลงทุนเพื่อการเกษียณหรือสำหรับการออมเงินเพื่อการเติบโตในระยะยาวเนื่องจากตลาดมีความผันผวนสูง (mintos)