Web3 คือการพัฒนาใหม่ของอินเทอร์เน็ตที่มีความสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวิธีที่ผู้ใช้งานมีปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหาและบริการออนไลน์ Web3 เป็นเครือข่ายสาธารณะที่สร้างขึ้นบนเทคโนโลยีบล็อกเชนและสถาปัตยกรรมเชิงความหมาย (Semantic Web) เพื่อรองรับระบบแบบกระจายศูนย์ (Decentralization) การปรับแต่งเฉพาะบุคคล (Personalization) ประสบการณ์ในการมีส่วนร่วม (Immersiveness) และเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยโทเค็น Web3 ใช้ระบบกระจายศูนย์ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับความปลอดภัยและความโปร่งใสในการใช้งานอินเทอร์เน็ต และยังสามารถควบคุมข้อมูลและสินทรัพย์ดิจิทัลของตนเองได้มากขึ้น
Web 3.0 คือการเปลี่ยนแปลงครั้งที่ 3 ของอินเทอร์เน็ต เว็บไซต์และแอปพลิเคชันสามารถจัดการข้อมูลได้เทียบเท่ากับมนุษย์โดยอาศัยเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น Machine Learning หรือ เทคโนโลยีบล็อกเชน (DLT) ทิม เบอร์เนอร์ส-ลี (Tim Berners-Lee) ผู้ประดิษฐ์ World Wide Web วางแผนที่จะทำให้ Web 3.0 และ Semantic Web เป็นระบบที่มีความสามารถอัตโนมัติ ฉลาด และสามารถเข้าถึงได้ง่าย
ข้อมูลบน Web 3.0 จะถูกเชื่อมโยงกันในลักษณะกระจายศูนย์ แทนการพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์กลางของบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ในการเก็บและจัดการข้อมูล เป็นรูปแบบที่พัฒนามาจากเวอร์ชันของอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน (Web 2.0) ซึ่งข้อมูลส่วนใหญ่ถูกเก็บในที่เก็บข้อมูลแบบรวมศูนย์ ผู้ใช้งานสามารถโต้ตอบกันโดยตรงผ่านเครือข่ายเพียร์ทูเพียร์ (P2P) ทั้งมนุษย์และหุ่นยนต์จะสามารถโต้ตอบกับข้อมูลได้ แต่โปรแกรมต่าง ๆ จะต้องเข้าใจข้อมูลทั้งในเชิงบริบทและความหมาย ด้วยเหตุนี้ พื้นฐานสำคัญของ Web 3.0 จึงอยู่ที่ Semantic Web และ ปัญญาประดิษฐ์ (AI)
อีกหนึ่งด้านที่สำคัญ คือแนวคิดของการทำงานร่วมกันได้ (interoperability) ในยุคอินเทอร์เน็ตปัจจุบัน แพลตฟอร์มและบริการต่าง ๆ มักแยกจากกัน ทำให้ผู้ใช้งานย้ายข้อมูลและสินทรัพย์ดิจิทัลระหว่างกันได้ยาก Web3 มุ่งหวังที่จะทำลายอุปสรรคเหล่านี้โดยการเปิดโอกาสให้แอปพลิเคชันต่าง ๆ ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงและควบคุมข้อมูลของตนได้ทั่วทั้งอินเทอร์เน็ต
จุดสำคัญของการพัฒนาอินเทอร์เน็ตครั้งนี้คือ Web3 wallet ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึง ควบคุม และจัดการสินทรัพย์บนบล็อกเชน เช่น สกุลเงินดิจิทัลและ NFT ได้อย่างเป็นส่วนตัว web3 wallet จึงเป็นกระเป๋าดิจิทัลที่ออกแบบมาสำหรับโลกของการเงินแบบกระจายศูนย์ ทำหน้าที่เป็นประตูสำหรับผู้ใช้งานในการเข้าไปโต้ตอบกับเครือข่ายบล็อกเชนและแอปพลิเคชันกระจายศูนย์ (DApps) ให้วิธีที่ปลอดภัยในการจัดการสกุลเงินดิจิทัล และยังออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและเข้าถึงได้ ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเครือข่ายบล็อกเชนได้โดยไม่ต้องมีความรู้ทางเทคนิคมาก
Web3 แตกต่างจาก Web2 และ Web1 อย่างไร?
เช่นเดียวกับ Web2 ที่พัฒนามาจาก web1 โดยการเพิ่มมิติทางสังคมในการแชร์ข้อมูลเข้าไป Web3 ก็คือการพัฒนาต่อจาก Web2 โดยพัฒนาให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างโปร่งใสโดยไม่จำเป็นต้องผ่านการปกครองจากส่วนกลาง
โดยภาพรวมแล้ว Web 1.0 คือยุคที่เน้นการดึงข้อมูลและอ่านข้อมูล Web 2.0 คือยุคที่เน้นการอ่าน เขียน สร้าง และโต้ตอบกับผู้ใช้งาน หรือที่เรียกว่าเว็บที่สังคมมีส่วนร่วม Web 3.0 คือรุ่นที่สามของอินเทอร์เน็ต และเป็นเว็บกระจายศูนย์ที่ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา เน้นการอ่าน เขียน และการเป็นเจ้าของข้อมูล
Web 1.0 คือเว็บที่มีข้อมูลเชื่อมโยงกัน เช่น เว็บไซต์ส่วนตัวหรือบล็อกที่ใช้แพลตฟอร์มเช่น WordPress หรือ Squarespace แชร์ข้อมูลกับผู้อื่นผ่านทาง URL
Web 2.0 คือเว็บที่เชื่อมต่อผู้ใช้งานเข้าหากันผ่านการโต้ตอบบนเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่นเว็บไซต์โซเชียลมีเดีย อย่าง Instagram และ Twitter ผู้ใช้งานบริโภคข้อมูลที่ถูกจัดการโดยอัลกอริธึมของบริษัทเทคโนโลยีและมักจะแชร์ข้อมูลภายในแพลตฟอร์มโดยการกดถูกใจ แชร์ รีโพสต์ คอมเมนต์ และอื่นๆ
แล้ว Web 3.0 แตกต่างจาก Web 2.0 อย่างไร? Web 3.0 หรือ Web3 คือรุ่นที่ 3 ของ World Wide Web (WWW) ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา เป็นเว็บที่มีข้อมูลกระจายศูนย์และเปิดกว้าง มีฟังก์ชันและความสามารถมากขึ้นเมื่อเทียบกับ Web 2.0 ในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น เมื่อต้องการซื้อขายศิลปะ NFT ในระบบบล็อกเชน ผู้ใช้งานจะสามารถดูประวัติของเจ้าของเก่าที่ผ่านมาและจำนวนโทเค็นที่แลกเปลี่ยนไปทั้งหมดได้ เป็นการมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกับชุดข้อมูลผ่านธุรกรรมในกระเป๋าดิจิทัล
เว็บทั้ง 3 รุ่นต่างมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไปในแต่ละยุคสมัย ตารางเปรียบเทียบข้อมูลด้านล่างได้รวบรวมข้อแตกต่างที่สำคัญเพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพและเข้าใจมากขึ้น
คุณสมบัติ | Web1 | Web2 | Web3 |
ช่วงเวลา | ปี 1991 ถึง 2004 | ปี 2004 เป็นต้นไป | อยู่ในช่วงกำลังพัฒนา |
ลักษณะเนื้อหา | เน้นการอ่านข้อมูล | สามารถโต้ตอบได้ เนื้อหาสร้างโดยผู้ใช้งาน | ปรับแต่งได้ กระจายศูนย์ ขับเคลื่อนด้วย AI |
การสร้างเนื้อหา | ผู้สร้างเนื้อหาน้อย ผู้บริโภคจำนวนมาก | ผู้ใช้งานสร้างเนื้อหาร่วมกัน | เนื้อหากระจายศูนย์ที่ใช้ AI และบล็อกเชน |
เทคโนโลยี | HTML หน้าเว็บ ตาราง เฟรม | AJAX, JavaScript, dynamic content | AI, DLT (บล็อกเชน), Semantic Web, กราฟิก 3D |
การออกแบบเว็บ | Static pages | หน้าเว็บที่มีความหลากหลาย, dynamic, และโต้ตอบได้ เช่น เว็บแอปพลิเคชัน | ปรับแต่งให้เข้ากับบุคคล และเชื่อมโยงกันได้ ้เช่น แอปพลิเคชันอัจฉริยะ |
การสร้างรายได้ | โฆษณาแบนเนอร์ | โฆษณา อีคอมเมิร์ซ อิงกับการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งาน | สกุลเงินดิจิทัล การชำระเงินผ่านการใช้บล็อกเชน |
คุณสมบัติหลัก | หน้าเว็บที่ง่าย URL ลิงก์ เนื้อหาคงที่ | การโต้ตอบทางสังคม, บล็อก พอดแคสต์ การแท็ก | สมาร์ทคอนแทรกต์, ข้อมูลกระจายศูนย์ กราฟิก 3D |
การโต้ตอบ | การสื่อสารทางเดียว | การสื่อสารสองทาง (การสร้างเนื้อหา ข้อเสนอแนะ) | การโต้ตอบขั้นสูง ขับเคลื่อนด้วย AI |
ความเป็นเจ้าของข้อมูล | ความเป็นเจ้าของข้อมูลแบบรวมศูนย์โดยผู้สร้างเว็บไซต์ | ผู้ใช้งานสร้างข้อมูล แต่ควบคุมโดยแพลตฟอร์ม | กระจายศูนย์ ผู้ใช้งานเป็นเจ้าของข้อมูลของตนเอง |
การเข้าถึง | จำกัดเฉพาะเบราว์เซอร์เว็บบนเดสก์ท็อป | แพลตฟอร์มเดสก์ท็อปและมือถือ รองรับหลายอุปกรณ์ | การเข้าถึงทุกที่ทุกเวลาในหลายอุปกรณ์ |
พื้นฐานทางเทคโนโลยี | เว็บเซิร์ฟเวอร์ เครื่องมือค้นหา (เช่น AltaVista และ Yahoo!), อีเมล (Yahoo!, Hotmail), การแชร์ไฟล์ Peer-to-Peer (Napster, BitTorrent) | AJAX, JavaScript, REST API, Microsoft.NET, บล็อก, Wiki, และอื่น ๆ | บล็อกเชน, AI, การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) |
คุณสมบัติและตัวอย่างของ Web3
web 3.0 หลักการทํางานมีความแตกต่างอย่างมากเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า หลายคนอาจสงสัยว่าคุณสมบัติหลัก ๆ ของ web 3.0 มีอะไรบ้าง? โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่ได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในอนาคตของโลกอินเทอร์เน็ต อย่างเช่น Semantic Web ปัญญาประดิษฐ์ และการเข้าถึงทุกที่ทุกเวลา เป็นต้น
1. Semantic Web
Semantic Web หรือ “เว็บที่เข้าใจมนุษย์” ทำงานเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีออนไลน์ให้มีฟังก์ชันเพิ่มเติม โดยช่วยให้ผู้ใช้งาน สร้าง แบ่งปัน และเชื่อมโยงข้อมูลผ่านการค้นหาและการวิเคราะห์ ฟังก์ชันการค้นหาของเว็บ 3.0 จะมุ่งเน้นที่การเข้าใจความหมายของคำและบริบทที่อยู่รอบ ๆ ตัว การพัฒนาเว็บ 3.0 ทำให้การตีความข้อมูลเป็นเรื่องที่มีความหมายมากขึ้นกว่าการแปลข้อมูลตามตัวเลขหรือคำสำคัญ
2. ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence)
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยให้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สามารถเข้าใจข้อมูลเหมือนกับมนุษย์แต่ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น AI จะช่วยลดปัญหาการจัดการข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือข้อมูลที่มีอคติ นอกจากนี้ เนื่องด้วย Web3 มีการใช้ความคิดเห็นจากผู้ใช้งานเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญในการสร้างความเชื่อถือในการนำเสนอข้อมูล ฟังก์ชัน AI ยังสามารถแยกแยะข้อมูลปลอมออกจากข้อมูลที่แท้จริงได้
3. กราฟิก 3D
อีกคุณสมบัติสำคัญของเว็บ 3.0 คือการคำนวณพื้นที่ (spatial computing) และกราฟิก 3D หลายคนมองว่าเว็บ 3.0 เป็นพื้นที่ที่สามารถเชื่อมต่อระหว่างโลกจริงและโลกเสมือนจริงได้ เว็บ 3.0 มีการพัฒนาเทคโนโลยีกราฟิกและเพิ่มความสะดวกในการโต้ตอบกับ Metaverse การออกแบบ 3D จึงเป็นจุดเด่นในแอปพลิเคชัน บริการ และเว็บไซต์ที่ใช้ web3 ไม่เพียงแต่ในเกม แต่ยังในภาคอื่น ๆ เช่น ด้านสุขภาพ อีคอมเมิร์ซ และอสังหาริมทรัพย์
4. การเชื่อมต่อและการเข้าถึงทุกที่ทุกเวลา (Ubiquity)
Web3 ช่วยให้ผู้ใช้งานและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องในระบบสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างราบรื่นและพร้อมใช้งานตลอดเวลา เว็บ 3.0 จะใช้ข้อมูล Semantic metadata เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ในการเชื่อมต่อ และยังเชื่อมโยงกับเซ็นเซอร์ IoT ในระดับใหญ่ ทำให้สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่จำกัดประเภทของอุปกรณ์
5. บล็อกเชนและการกระจายศูนย์ (Blockchain and Decentralization)
บล็อกเชนจะช่วยให้เกิดการกระจายศูนย์ และสามารถรับประกันความปลอดภัยข้อมูลผู้ใช้งานได้โดยการเข้ารหัส ความโปร่งใสในระบบช่วยให้การตรวจสอบและการรักษาความปลอดภัยสามารถทำได้ดีขึ้น แอปพลิเคชัน web 3 จะทำงานบนบล็อกเชน เครือข่ายกระจายศูนย์แบบเพียร์ทูเพียร์ หรือเป็นการรวมกันของทั้งสองรูปแบบ แอปพลิเคชันที่กระจายศูนย์เหล่านี้เรียกว่า “dApps” (Decentralized Applications)
6. ไม่มีข้อจำกัดในการเข้าร่วม
เนื่องจาก web 3.0 ใช้ซอฟต์แวร์ open source เป็นพื้นฐานจึงมีลักษณะ trustless ซึ่งหมายความว่าเครือข่ายจะอนุญาตให้ผู้เข้าร่วมสามารถโต้ตอบกันได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านตัวกลางที่เชื่อถือได้ และ ไม่มีข้อจำกัดในการเข้าร่วม ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าร่วมได้โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่ดูแล
แนะนำแพลตฟอร์ม Web3 ยอดนิยม
หลายคนอาจจะรู้จัก web3.0 แล้ว แต่ยังไม่ทราบว่า web 3.0 มีอะไรบ้าง การเลือกแพลตฟอร์ม Web3 ที่เหมาะสมเป็นการตัดสินใจที่สำคัญในการพัฒนา dApp แพลตฟอร์มยอดนิยมหลัก ๆ ได้แก่ Ethereum Binance Smart Chain และ Polkadot
1. Ethereum
Ethereum ถือเป็นผู้บุกเบิกของ web3 ฟีเจอร์ที่โดดเด่นคือ Smart Contracts ซึ่งเป็นการทำงานแบบอัตโนมัติ
ตั้งแต่การทำธุรกรรมทางการเงินไปจนถึงการพัฒนาแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (dApps)
คุณสมบัติหลัก:
- Ethereum เป็นผู้นำในด้าน Smart Contracts ซึ่งช่วยให้สามารถทำข้อตกลงอัตโนมัติโดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง
- มีชุมชนผู้พัฒนาที่แข็งแกร่งช่วยสนับสนุนการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
- การอัปเกรด Ethereum 2.0 มีการใช้กลไก Proof of Stake (PoS) เพื่อเพิ่มความสามารถในการขยายตัว ทำให้ระบบประหยัดพลังงานมากขึ้นและสามารถเข้าถึงผู้ใช้ได้หลากหลายมากขึ้น
2. Binance Smart Chain
Binance Smart Chain (BSC) เป็นพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับนักพัฒนาที่ต้องการสร้าง dApps ด้วยต้นทุนการทำธุรกรรมที่ต่ำ
การรวมเข้ากับระบบของ Binance ช่วยให้ผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับบริการของ Binance สามารถใช้งานได้สะดวกมากขึ้น เวลาการยืนยันธุรกรรมที่รวดเร็วช่วยให้ประสบการณ์ของผู้ใช้ราบรื่น
คุณสมบัติหลัก:
- Binance Smart Chain มีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมต่ำ
- การรวมเข้ากับระบบของ Binance เป็นการเชื่อมต่ออย่างไร้รอยต่อกับ Binance Exchange
- เวลาในการยืนยันธุรกรรมรวดเร็ว
3. Polkadot
การเชื่อมต่อระหว่างบล็อกเชนและ “parachains” บน Polkadots เปิดโอกาสให้แอปพลิเคชันข้ามบล็อกเชนสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น
นักพัฒนาสามารถสร้างบล็อกเชนของตนเองและเชื่อมต่อกับเครือข่าย Polkadot ได้ นอกจากนี้ ผู้ใช้งานยังสามารถมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องการกำกับดูแลแพลตฟอร์ม ซึ่งช่วยเสริมสร้างลักษณะกระจายอำนาจของ Polkadot
คุณสมบัติหลัก:
- Polkadot ส่งเสริมการเชื่อมต่อระหว่างบล็อกเชนต่าง ๆ (Interoperability)
- มีบล็อกเชนที่สร้างและกำหนดเองได้ หรือ ที่เรียกว่า parachains ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น
- ผู้ใช้งาน Polkadot มีส่วนร่วมในการกำกับดูแลบนบล็อกเชน (On-Chain Governance)
4. Solana
ความเร็วที่ยอดเยี่ยมและค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่ต่ำ ทำให้ Solana เป็นแพลตฟอร์ม dApps ที่มีการทำงานแบบเรียลไทม์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก Solana มีการใช้กลไก “Delegated Proof of Stake (DPoS)” ทำให้สามารถให้ทั้งความเร็วและความปลอดภัยแก่ผู้ใช้งาน
เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักพัฒนาที่ต้องการบล็อกเชนที่มีประสิทธิภาพสูง
คุณสมบัติหลัก:
- Solana มีความสามารถในการประมวลผลธุรกรรมจำนวนมาก
- ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมต่ำ
- กลไก Delegated Proof of Stake (DPoS) ของ Solana ช่วยให้เกิดความรวดเร็วและปลอดภัย
ตัวอย่างการใช้งาน Web3 ในชีวิตประจำวัน
Web3 หรือ Web 3.0 คืออินเทอร์เน็ตแบบกระจายศูนย์ที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อเปิดโอกาสให้การสื่อสารเป็นไปอย่างปลอดภัยและเป็นส่วนตัว สามารถนำไปใช้ได้กับหลากหลายวัตถุประสงค์และเป็นพื้นฐานสำคัญมากมายในปัจจุบัน
- สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency): Web3 เป็นรากฐานสำหรับสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin ผู้ใช้งานสามารถเก็บสกุลเงินดิจิทัลใน wallet ที่ใช้ระบบกระจายศูนย์เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวได้
- NFTs หรือ โทเคนที่ไม่สามารถทดแทนได้ คือสินทรัพย์ดิจิทัลที่สามารถนำไปซื้อขายบนแพลตฟอร์ม Web3 ได้
- การเงินกระจายศูนย์ (DeFi) คือระบบการเงินที่ทำงานบนเครือข่าย Web3
- องค์กรอัตโนมัติกระจายศูนย์ (DAOs) องค์กรที่ดำเนินการบนเครือข่าย Web3
- สามารถใช้เพื่อเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (Decentralized storage)
- การเชื่อมต่อระหว่างระบบ (Interoperability) ทำให้สามารถย้ายข้อมูลได้ เพื่อให้ผู้ใช้งานสลับบริการต่าง ๆ โดยไม่สูญเสียการตั้งค่าหรือข้อมูล
นอกจากนี้ Web 3.0 ยังทำให้การใช้ชีวิตประจำวันดำเนินไปอย่างสะดวกมากขึ้น เช่น:
- การปรับปรุงบริการทางการเงิน: ในปัจจุบันแอปพลิเคชันสำหรับการเงินแบบกระจายศูนย์ (Defi) มีจำนวนมาก การนำเว็บ 3.0 เข้ามาใช้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของโครงสร้างพื้นฐานและขีดความสามารถของแอปพลิเคชัน ทำให้ทีมผู้สร้างสามารถพัฒนาแอปพลิเคชันธนาคารแบบกระจายศูนย์ที่รับประกันการทำธุรกรรมที่รวดเร็วและปลอดภัย
- การพัฒนาแอปพลิเคชันเกม: เว็บ 3.0 และเกมที่ใช้บล็อกเชนช่วยให้การถ่ายโอนสินทรัพย์ในเกมไปยังเกมอื่น ๆ เป็นไปได้ง่าย ผู้เล่นสามารถ ขาย เป็นเจ้าของ และสร้างผลิตภัณฑ์ในเกมเพื่อการทำกำไรได้
- การรักษาความปลอดภัยในโซเชียลมีเดีย: เว็บ 3.0 เปลี่ยนแปลงพื้นฐานในการพัฒนาแอปพลิเคชันโซเชียลมีเดียของบริษัท โดยการดึงการเป็นเจ้าของข้อมูลกลับมาที่ผู้ใช้งานจริง ทำให้การจัดการข้อมูลและการปรับเปลี่ยนข้อมูลทำได้ยากขึ้น ปลอดภัยต่อผู้ใช้งานมากขึ้น
คำถามที่พบบ่อย
Web3 Wallet คืออะไรและใช้งานอย่างไร?
Web3 Wallet คือกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ใช้ในการจัดการสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น สกุลเงินคริปโต และ NFTs ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อกับ decentralized applications (dApps) ผ่าน Web3 Wallet เพื่อทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัยและเป็นส่วนตัว
Web3 0.0 มีลักษณะการทำงานอย่างไร?
Web 3.0 มีลักษณะการทำงานที่เน้นการกระจายศูนย์ (decentralization) โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อสร้างความโปร่งใสและความปลอดภัย อีกทั้งยังสนับสนุนการใช้งานแบบ peer-to-peer ทำให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมข้อมูลและสินทรัพย์ของตนเองได้มากขึ้น